วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ผลผลิตของประเทศสยามและข้อแรกคือป่าไม้


ผลผลิตของประเทศสยามและข้อแรกคือป่าไม้
                จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ได้บันทึกถึงป่าไม้ที่อยู่ในประเทศสยามของเรานั้นหลายชนิด พร้อมทั้งได้อธิบายลักษณะ และการนำไปใช้ประโยชน์ของไม้แต่ละชนิด เช่น ต้นไผ่ ต้นไทร ฝ้ายและนุ่น ต้นไม้ที่ให้น้ำและยาง ต้นไม้ที่ใช้เปลือกทำเป็นกระดาษ เป็นต้น
                ลาลูแบร์ได้บันทึกว่าประเทศสยามของเรานั้นแทบจะไม่ได้รับการปรับปรุงที่ดินเลย แต่ก็เต็มไปด้วยป่าไม้นานาชนิด ต้นไม้ชนิดที่มีชื่อเสียงมากเรียกกันว่า “ต้นไผ่” เป็นต้นไม้จำพวกเดียวกันกับแขม มีลำต้นตรงสูงและยาว มีใบน้อย สีซีดๆ ในลำต้นนั้นกลวงและงอกแตกหน่อแทงขึ้นมาจากดินได้ จะเกิดถี่และเสียดสีกันมาก เนื้อของไม้ไผ่นั้นยากที่จะตัดเพราะว่าเนื้อหนามาก ชาวสยามนั้นมักจะใช้ไม้ไผ่มาสีกันให้เกิดเป็นไฟได้ด้วย และด้วยความที่เป็นพืชจำพวกเดียวกันกับแขมนั้นไม้ไผ่ย่อมจะมียางและน้ำตาล น้ำตาลจากต้นไผ่นี้มีชื่อเสียงอยู่ในกลางประเทศอินเดียเป็นอย่างมากจะถือว่าใช้เป็นโอสถวิเศษก็ว่าได้ เพราะสามารถบำบัดโรคได้หลายประเภท
                สำหรับต้นไทรหรือต้นไม้แห่งรากนั้น ลาลูแบร์บันทึกไว้ว่าหากมีเล็กน้อยไว้ในที่นอนแล้วจะสามารถกำจัดยุงได้ ลักษณะกิ่งของมันนั้นมีสายหลายสายห้อยลงมาถึงพื้นดิน แล้วจะแตกรากเกิดเป็นลำต้นใหม่ขึ้นมาเท่าจำนวนของสายที่ห้อยย้อยลงมา ซึ่งหากมันขยายออกไปกว้างจะมองดูคล้ายหุบเหวหนึ่งเลยทีเดียว แต่ลาลูแบร์ก็เคยเห็นชาวสยามใช้วิธีอื่นในการกำจัดยุง อาจเป็นเพราะว่าเนื้อไม้ชนิดนี้หายาก หรืออาจจะไม่เชื่อในสรรพคุณของต้นไม้นี้ก็เป็นได้
                ชาวสยามนั้นยังมีพฤกษาชาติที่อำนวยประโยชน์ในการทำหมอนและยัดเบาะที่นั่งด้วย นั่นก็คือฝ้ายและนุ่น ลักษณะคล้ายกับสำลีอย่างละเอียด แต่ใยนั้นเป็นใยที่สั้นๆไม่สามารถนำมาปั่นให้เป็นเส้นด้ายได้ 
                ชายสยามได้น้ำมันชนิดต่างๆจากต้นไม้บางชนิด นำไปผสมกับซีเมนต์จะทำให้มีความเหนียวยิ่งขึ้น งานฉาบผนังหรือกำแพงที่ออกมาก็จะเกลี้ยงเกลา ผ่องเป็นมันราวกับหินอ่อน และอ่างน้ำที่ใช้ปูนซีเมนต์ชนิดนี้ยังสามารถเก็บน้ำได้ดีกว่าการทำด้วยดินเหนียวอีกด้วย
                การทำกระดาษของชาวต่างชาตินั้นใช้ผ้าขี้ริ้วบดให้ละเอียดแต่ชาวสยามนั้นทำจากผ้าฝ้ายเก่าๆและยังทำจากเปลือกของต้นข่อยด้วย ซึ่งก็ต้องนำมาบดละเอียดเช่นเดียวกัน แต่คุณภาพที่ออกมามีความหนาบางไม่สม่ำเสมอ เนื้อกระดาษและความขาวผ่องก็ด้อยกว่าของต่างชาติ จะเขียนด้วยดินสอซึ่งเป็นดินเหนียวที่ปั้นแล้วนำมาตากแดด หนังสือก็จะไม่มีการเย็บเข้าเล่ม แต่จะพับเป็นแผ่นยาวเหยียด นอกจากกระดาษแล้วชาวสยามยังมีการจารึกอักษรด้วยเหล็กจารึกลงบนใบลาน ที่ตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมยาวมากแต่จะกว้างน้อยจะใช้เขียนชาดกและมนต์ตราต่างๆสำหรับภิกษุสวดกันในวัด
                ประเทศสยามมีไม้คุณภาพที่ไว้สำหรับต่อเรือกำปั่น และทำเสากระโดง เชือกนั้นใช้ใยในกาบมะพร้าว และใบเรือทำด้วยเสื่อกกผืนใหญ่ ถึงแม้ว่าจะไม่ดีสู้กับของต่างชาติไม่ได้แต่ก็มีประโยชน์มากกว่า เพราะมีน้ำหนักเบาและอุ้มลมได้ดีกว่า นอกจากสร้างเรือแล้วยังมีไม้ที่ไว้สำหรับสร้างบ้านเรือน มีทั้งไม้ที่เบาและหนักที่สุด ทั้งที่ง่ายและยากต่อการผ่าหรือตัด ชาวยุโรปเรียกว่า “ไม้มารี”  ส่วนไม้ที่มีน้ำหนักมากและแข็งที่สุดเรียกว่า “ไม้เหล็ก”   ซึ่งหากเป็นไม้ที่สูงและลำต้นตรงท่อนเดียวก็อาจทำให้เรือ หรือที่ชาวโปรตุเกสเรียกว่า บาล็อง ลาลูแบร์บันทึกไว้ว่าชาวสยามใช้วิธีขุดในท่องซุงนั้น แล้วใช้ความร้อนค่อยเบิกปากให้เรือผายออก เลือกไม้ที่ยาวเท่ากันมาต่อเป็นกาบ เอาไม้ต่อหัวเรือให้สูงเชิดและท้ายเรือให้ยื่นออกไปข้างหลัง
                นอกจากทั้งหมดนี้แล้ว ชาวสยามยังมีอบเชยถึงแม้ว่าจะด้อยกว่าของเกาะสิงหล แต่ก็นับว่าดีกว่าของที่อื่นๆแล้ว และยังมีไม้กฤษณาหรือไม้ขอนดอกด้วย แต่ลาลูแบร์ก็ได้บันทึกไว้ว่าแม้ชาวสยามจะมีไม้มากชนิดก็ไม่ปรากฏว่ามีชนิดที่ชาวยุโรปนั้นรู้จัก และยังไม่มีไหมและป่านลินินด้วย
                จากการศึกษาจดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ เรื่องผลผลิตของประเทศสยามและข้อแรกคือป่าไม้ จะเห็นได้ว่าสมัยอยุธยานั้นประเทศไทยของเรามีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและป่าไม้มาก มีการนำต้นไม้นานาชนิดมาทำประโยชน์เป็นเครื่องบริโภค  เมื่ออ่านแล้วก็ได้รู้สึกชื่นชมลาลูแบร์ที่ได้บันทึกเรื่องราวของธรรมชาติในประเทศไทยในสมัยอยุธยาให้พวกเราได้ศึกษากัน อ่านแล้วอยากจะเกิดเป็นคนในสมัยอยุธยาแล้วกลับมาเปรียบเทียบว่าปัจจุบันกับในสมัยอยุธยาว่ายุคไหนสมัยไหนดีกว่ากัน เพราะว่าอ่านแล้วเข้าใจง่ายไม่ได้มีภาษาที่ยาก ไม่ต้องมาแปลอีกครั้งหนึ่ง สามารถจินตนาการตามความที่บันทึกได้

นางสาวบานชื่น  ผกามาศ  
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์  เอกประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา
มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์. (2548). จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม (พิมพ์ครั้งที่ 2).
        นนทบุรี: ศรีปัญญา, หน้า 50-55

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น