อันที่จริงแล้วไม่ได้ตั้งใจที่จะตั้งบล็อคนี้ขึ้นมา
แต่เผอิญนึกขึ้นได้ว่า มีบทความที่เคยทำส่งอาจารย์ อยู่หลายชิ้นเหมือนกัน
หากเก็บไว้แต่ในคอมของตัวเอง ก็คงจะไม่เกิดประโยชน์อะไร
แต่ถ้ามาเก็บไว้ในบล็อค แล้วเผยแพร่ให้กับคนอื่นได้ชม
บางทีอาจจะเป็นประโยชน์กับใครสักคนนึงก็เป็นได้
ก่อนอื่นก็คงต้องบอกว่า เนื้อหาทั้งหมดเป็นความคิด และความตั้งใจที่ทำส่งให้อาจารย์
งานแต่ชิ้นอาจจะมีข้อผิดพลาดบ้าง ก็คงต้องขออภัยด้วย
แต่ก็เต็มที่กับงานทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ค่ะ
บานชื่น ^^
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
ราชสกุลแพทย์ในพระองค์
สังคมไทยให้การยอมรับและให้เกียรติและศรัทธาในวิชาชีพแพทย์มานาน ถือกันว่าเป็นวิชาชีพชั้นสูง ในบรรดาผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ “แพทย์หลวง”
จะเป็นแพทย์ที่พระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่ในราชสำนัก
ทำหน้าที่ถวายการรักษาพยาบาลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระมเหสีเทวี
พระราชโอรส พระราชธิดา พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพาร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แพทย์หลวงจึงเป็นวิชาชีพที่สำคัญมาก
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท เป็นต้นราชสกุลแพทย์ประจำพระองค์ (องค์เจ้าชายนวม) ประสูติเมื่อ 8 กรกฎาคม
2351 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ที่49 ของพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมารดาคือ
เจ้าจอมมารดาปราง
พระองค์เจ้านวมได้รับการศึกษาเบื้องต้นตามแบบฉบับของพระราชสำนัก โดยเฉพาะความรู้ทางการแพทย์
ได้ถวายพระองค์เป็นศิษย์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงมีความรู้ทางด้านการแพทย์และเภสัชกรรม รวมทั้งด้านโหราศาสตร์ ระเบียบแบบแผนประเพณีแห่งราชสำนัก พระองค์ได้ถ่ายทอดให้กับพระองค์เจ้านวมด้วยเมตตาธรรม นอกจากความสนใจในศิลปวิทยาการ
พระองค์เจ้านวมยังมีความสนใจในวิชาการแพทย์แผนใหม่ตะวันตก ที่คณะมิชชันนารีอเมริกันนำเข้ามาเผยแพร่
พร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาคริสต์
พระองค์เจ้านวมได้รับราชการสนองพระพระคุณพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมทั้งสิ้น 3 รัชกาลด้วยกัน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 11
สิงหาคม 2410 ทรงพระชนมายุได้ 63 พรรษา
พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์
หมอสายแพทย์ในพระองค์รุ่นที่ 2
ประสูติเมื่อ
25 กุมภาพันธ์ 2388 เป็นโอรสองค์ที่สองในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงษาธิราชสนิท และ หม่อมแย้ม
หม่อมเจ้าชายสายได้รับการถ่ายทอดวิชาความรู้จากพระบิดา ทั้งวิชาทางการแพทย์ วิชาการพาณิชย์
และวิชาการด้านอื่นๆที่จำเป็นสำหรับการรับราชการสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์
พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ได้ดำรงตำแหน่งจางวางกรมหมอ รับหน้าที่เป็นแพทย์ประจำพระองค์
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และได้กราบถวายบังคมทูลให้ว่าจ้าง
นายแพทย์ปีเตอร์ เคาแวน (
เป็นแพทย์ชาวตะวันตกคนแรกที่ได้เข้ามารับราชการในพระราชสำนัก ) พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์
ทรงมีบทบาทในการปรับปรุงการแพทย์ และการสาธารณสุข
ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ
การสร้างโรงพยาบาล ได้แก่
โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล เมื่อวันที่
26 เมษายน 2431 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ สิ้นพระชนม์เมื่อ 3 กันยายน 2455
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมสิริชันษา 67 ปี
หม่อมราชวงศ์สุวพรรณ ได้ไปศึกษาวิชาแพทย์ที่ยุโรป
ตามความเห็นของหมอปีเตอร์ เคาแวน
ว่าควรส่งนักเรียนไทยไปศึกษาวิชาแพทย์อย่างยุโรปแล้วเข้ามารับราชการต่อไปภายหน้า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นด้วย
จึงเลือกหม่อมราชวงศ์สุวพรรณด้วยว่าจะได้เป็นทายาทสืบวิชาของบิดาและพระอัยกาลงมาเป็นช่วงที่
3 ซึ่งเวลานั้นหม่อมราชวงศ์สุวพรรณ
อายุเพียง 9 ขวบ
ได้ไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองสก็อตแลนด์
จนเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก
ได้ปริญญาเป็นเบซออฟเมดิซีน
เมื่อกลับมาที่กรุงเทพฯ
ก็ได้รับการอบรมความรู้กิจการบ้านเมืองจากพระบิดา
ด้วยเพราะหม่อมราชวงศ์สุวพรรณมีความรู้ด้านภาษาอังกฤษดี
เมื่อเข้ารับราชการจึงทรงเป็นทั้งผู้ช่วยในการแพทย์แล้ว ยังทำงานด้านการต่างประเทศ กิจการทหาร
และยังได้ทำการขุดคลองนาอีกด้วย นอกจากนี้
ยังได้รักษาพยาบาลราษฎรในท้องถิ่น
หม่อมราชวงศ์สุวพรรณได้ป่วยเป็นโรคไตพิการเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง
และถึงอนิจกรรมเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2496 รวมสิริอายุได้ 63 ปี ถือเป็นการหมดช่วงสายแพทย์ในพระองค์รุ่นที่
3
ศาสตราจารย์นายแพทย์หม่อมหลวงเกษตร สนิทวงศ์
เป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวน 6 คนของพลเอกเจ้าพระยาวงศานุปพัทธ์ และท่านผู้หญิงตาด (สิงหเสนี) เกิดเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2451
หม่อมหลวงเกษตร
สนิทวงศ์ได้รับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จนในปี พ.ศ.
2466 ท่านอายุได้ 15
ปี พระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับหม่อมหลวงเกษตร
สนิทวงศ์ เป็นนักเรียนทุนส่งไปศึกษาวิชาการแพทย์ที่อังกฤษ เริ่มการศึกษาที่โรงเรียนประจำเทรต์คอลเลจ และศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก
แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองทำให้ท่านต้องกลับเมืองไทย
แต่อีกไม่กี่ปีต่อไปท่านได้เดินทางกลับไปศึกษาต่อจนได้ปริญญากลับมา
แล้วได้ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
ท่านได้รับกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นแพทย์ประจำพระองค์ เป็นกรรมการแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์
เป็นแพทย์ผู้ถวายการประสูติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ ท่านถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ 25
สิงหาคม 2538 ท่านสิริอายุได้ 87 ปี
แพทย์ในพระองค์รุ่นที่5 ประกอบด้วยศาสตราจารย์นายแพทย์ดนัย สนิทวงศ์
ณ อยุธยา และ ศาสตราจารย์นายแพทย์กุลพัทธ์ สนิทวงศ์
ณ อยุธยา
ศาสตราจารย์นายแพทย์ดนัย สนิทวงศ์
ณ อยุธยา เกิดเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2468
ได้รับการศึกษาจากมารดาที่บ้าน
เพราะบิดารับราชการต้องเดินทางบ่อย แต่ท่านเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
ทำให้สามารถสอบเทียบเข้าเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้ ต่อจากนั้นได้เข้าศึกษาเป็นนักเรียนรุ่นแรก ของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
เมื่อจบแล้วไปเรียนเตรียมแพทย์ที่คณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่ออีก 2 ปี
แล้วได้ข้ามฟากไปเรียนคณะแพทยศาสตร์
โรงพยาบาลศิริราช
ศาสตราจารย์นายแพทย์ดนัย
สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
ได้ปฏิบัติงานสนองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงโปรดเกล้าฯ
ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยแพทย์ประจำพระองค์
ต่อมาจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นแพทย์ประจำพระองค์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2525
ศาสตราจารย์นายแพทย์ดนัย
สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
ถึงอสัญกรรมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2534
อายุได้ 66 ปี
ศาสตราจารย์นายแพทย์กุลพัทธ์ สนิทวงศ์
ณ อยุธยา
ได้สืบทอดภารกิจมาจากบิดาคือ
ศาสตราจารย์นายแพทย์เกษตร
สนิทวงศ์
ท่านเป็นผู้ถวายการประสูติพระเจ้าหลานเธอ
พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ,
พระเจ้าหลานเธอ
พระองค์เจ้าสิริยาภาจุฑาภรณ์
และพระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ
จะเห็นได้ว่าราชสกุลแพทย์ในพระองค์ ไม่ได้ประกอบวิชีพแพทย์เพียงอย่างเดียว
ยังได้ช่วยสร้างความเจริญก้าวหน้ากับประเทศไทยด้วย สร้างประโยชน์ที่ทำให้ประชาชนอยู่กันอย่างสบายมากขึ้น
แล้วสะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้นแพทย์หลวง จึงเป็นวิชาชีพที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะในอดีตหรือในปัจจุบันก็ตาม
ที่มา
: เล็ก พงษ์สมัครไทย . (2548).ราชสกุลแพทย์ในพระองค์.กรุงเทพ.น้ำฝน
นางสาวบานชื่น ผกามาศ
มหาตะมะ คานธี นักสู้ "อหิงสา"
มหาตมะ
คานธี นักสู้ “อหิงสา”
โมหันทาส กรามจันท คานธี
หรือมหาตมะ คานธี
เกิดในครอบครัวฮินดู วรรณะแพทย์
ในจังหวัดโปรพันทาร ประเทศอินเดีย
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2412 ฐานะทางครอบครัวถือว่าร่ำรวย
เมื่อเขาอายุได้เพียง 14 ปี ได้แต่งงานกับกัสตูรไบ หญิงวัยเดียวกันตามประเพณีฮินดูที่พ่อแม่ได้จัดขึ้น
ต่อมาได้มีบุตร 4 คน คานธีเป็นคนที่นิสัยอยากรู้อยากเห็น เป็นคนขี้อาย
เมื่อคานธีอายุได้ 19 ปี ได้จากภรรยาและบุตรไปศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในลอนดอน
ประเทศอังกฤษ เมื่อสำเร็จการศึกษากลับมาที่อินเดียแล้ว
ได้ตัดสินใจทำงานให้กับบริษัทกฎหมายอินเดียแห่งหนึ่งที่ต้องการให้เขาไปที่แอฟริกาใต้
ซึ่งสมัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจักรภพอังกฤษ ชาวอินเดียที่เดินทางไปที่นั่น
จะถูกดูถูกดูแคลนจากคนผิวขาว
ขณะเดินทางเขาถูกตำรวจคนหนึ่งโยนออกมาจากรถไฟพร้อมกับสัมภาระ เขาต้องทนกับความเหน็บหนาวอย่างโกรธแค้น
แม้ว่าเขาจะมีตั๋วรถไฟชั้นหนึ่งก็ตามที
เหตุการณ์นี้เป็นชนวนที่ทำให้เขาทำงานเพื่อสิทธิ และ
เสรีภาพให้กับคนอินเดียในแอฟริกาใต้ถึง 21 ปี โดยใช้ “กฎสัตยาเคราะห์”
หรือการไม่ใช้ความรุนแรง อีกทั้งยังคงต่อสู้ทางกฎหมายด้วยเช่นเดียวกัน เขาเป็นแนวหลักในการจัดตั้งชุมชนชาวนา
บ้านอธิษฐาน, ฟาร์มตอยสตอย ,อาศรมสาบรามาติ
เพื่อชาวอินเดีย โดยมีกัสตูรไป
ภรรยาของเขาคอยช่วยเหลือ
เมื่อภารกิจในแอฟริกาใต้เสร็จสมบูรณ์
คานธีได้เดินทางกลับอินเดีย
ได้เห็นว่าคนอินเดียมีความยากจนกันมาก
จึงได้ขอร้องให้คนอินเดียทิ้งผ้าของอังกฤษทั้งหมดแล้วหันมาผลิตผ้ากันเอง
หรือซื้อเสื้อผ้าของอินเดีย ส่งผลให้คนส่วนใหญ่มีงานทำ เพราะว่าขณะนั้นอินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ
จึงเป็นขั้นตอนเดียวที่จะทำให้อินเดียก้าวไปสู่อิสรภาพ คานธียอมเสียสละความสุขส่วนตัวของตนเอง
เพื่ออิสรภาพของประเทศ และเพื่อชาวอินเดียทุกคน
หลายครั้งที่เขาถูกจับคุมขังขณะที่เป็นแกนนำหลักในการเรียกร้องสิทธิ
เสรีภาพของจักรพรรดิของอังกฤษ แต่เขาก็สามารถออกมาต่อสู้
ประท้วงความถูกต้องได้อีกเสมอๆ
คานธีเผยแผ่หลักอหิงสาให้กับคนทั้งอินเดียได้เข้าใจ
หลายครั้งที่เขาประท้วงโดยการอดอาหารจนร่างกายอ่อนแอ แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ
เพราะมีภรรยาของเขาคอยดูแล
เมื่อต่อมาภรรยาของเขาได้เสียชีวิตลง ช่วงนั้นเป็นเวลาที่ร่างกายของคานธีย่ำแย่ลงมากที่สุด
วันที่ 30 มกราคม 2491 คานธีถูกลอบสังหารโดย
นาธูรัม กอดส์
ชาวฮินดูหัวรุนแรงที่ปะปนอยู่ในหมู่ฝูงชนที่มาชุมนุมสวดมนต์ต่อหน้าสาธารณชน
โดยได้ลั่นกระสุนปืนพกลูกโม่ใส่เขา 3 ครั้งนัดซ้อนจน คานธี
ทรุดลงฮวบลงพร้อมพึมพำนามของพระเจ้าว่า “เฮ รามา”
ที่มา
: ธงไชย พรหมปก. มหาตมะ คานธี นักสู้ “อหิงสา”. พิมพ์ครั้งที่ 1 2537 กรุงเทพฯ: พิมพการณ์ การพิมพ์
นางสาวบานชื่น ผกามาศ
ท่วงทำนองอิสลามในอหิงสาของคานธี
ท่วงทำนองอิสลาม
ในอหิงสาของคานธี
คานธีเป็นบุคคลที่สนใจในศาสนาต่างๆ
อย่างมาก จัดได้ว่าเป็นนักอ่านผลงานทางศาสนาคนหนึ่ง แต่ศาสนาที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของคานธีมากที่สุด
คือ ศาสนาอิสลาม สืบเนื่องมาจากมารดาของคานธี “พุธลีไบ” ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสในศาสนาอิสลามอย่างลึกซึ้ง
ไปวัดเป็นประจำทุกวันถือศีลอดอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยรับประทานอาหารก่อนสวดมนต์ จึงทำให้คานธีมีความรู้สึกเคารพต่อพระคัมภีร์อัลกุรอานเป็นอย่างมาก
และคานธียังได้รับแรง บันดาลใจจากภารกิจของท่านศาสดาในระยะแรกของชีวิตด้วย
คือ ช่วงที่ท่านศาสดามูฮัมหมัดถูกเหยียดหยามและปฏิเสธจากประชาชนของท่านเอง
เพราะท่านเลือกศรัทธาและสั่งสอนผู้คนในสิ่งที่ท่านเชื่อ คานธีจึงพบว่า
คำสอนของท่านศาสดาแห่งศาสนาอิสลามเข้ากับหลักอหิงสาของเขาได้อย่างดี
แนวคิดอหิงสาของคานธีมีเนื้อหาเข้มข้นและซับซ้อน
หลายคนได้โต้แย้งนิยามของคำว่า “อหิงสา” ต่างกันออกไป แต่คานธีเห็นว่า
อหิงสาไม่ใช่วิถีของคนขลาดแต่เป็นวิถีของผู้กล้าที่พร้อมจะเผชิญกับความตาย
ซึ่งจะคล้ายกับแนวทางเรื่องความตายของศาสนาอิสลาม คือการกลับไปหาเอกองค์อัลเลาะห์
ที่ให้สู้รบ หากแต่คานธีวิเคราะห์ต่อไปว่าการสู้รบมีจุดมุ่งหมายสูงสุดเพื่ออะไร
เขาได้เห็นว่าสัจจะเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด ที่เป็นจุดรวมของทุกชีวิต
ปรัชญาของเขาคือ “สัจจะคือพระผู้เป็นเจ้า”
หากแต่เขาคิดว่าหากการทำลายล้างชีวิตด้วยกันเองก็เท่ากับทำร้ายสัจจะ
ดังนั้นอหิงสาจึงเป็นแนวทางเดียวที่จะนำไปสู่สัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งคือ
เอกภาพและความศักดิ์สิทธิ์ของทุกชีวิต
คานธีได้เสนอเงื่อนไขเพื่อความจำเป็นเพื่อความสำเร็จในการใช้แนวทางอหิงสา 3 ประการ คือ ไม่ควรเกลียดชังต่อศัตรู
ประการที่สอง ประเด็นนั้นต้องเป็นไปเพื่อความยุติธรรม ประการที่สามคือ
ต้องพร้อมที่จะรับทุกข์ทรมานจนถึงที่สุด
สำหรับเงื่อนไขสามประการนี้ชาวมุสลิมสามารถเข้าใจได้โดยง่าย นักวิชาการหลายท่านเสนอว่า
มีความเป็นไปได้ที่อิทธิพลของคำสอนในศาสนาอิสลามดังกล่าวจะมีปรากฏอยู่ในอหิงสาของคานธี
และสิ่งนี้สามารถนำมาใช้เป็นปัจจัยอธิบายได้หรือไม่
นักวิชาการหลายท่านก็ได้สรุปแนวทางสันตวิธีหรืออหิงสานั้นว่า
แนวทางนี้นั้นจะมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อใช้คู่กับสัจจะ
แต่ดูเหมือนว่าสัจจะหรือความจริงในโลกสมัยใหม่นี้กลับสลับซับซ้อนเกินกว่าจะสามารถรับรู้โดยสามัญสำนึกหรือความเข้าใจในระดับทั่วๆไปได้
แต่ชาวมุสลิมควรที่จะเข้าใจแนวคิดอหิงสาได้ดีกว่าคนอื่น
เพราะแนวคิดสามารถบรรลุถึงแก่นแท้ของศาสนา
การต่อสู้ของชาวมุสลิมก็ย่อมเป็นการต่อสู้ในนามของพระผู้เป็นเจ้า
และเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของเอกองค์อัลเลาะห์สำหรับมุสลิมทั้งหลายคือ สัจจะ
นั่นเอง แนวคิดอหิงสาของคานธีซึ่งไม่สามารถแยกออกจากสัจจะได้
จึงควรเป็นสิ่งดึงดูดใจอย่างยิ่งสำหรับชาวมุสลิมทุกคน
นางสาวบานชื่น ผกามาศ
ที่มา
: ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ .(2544) .ท่วงทำนองอิสลามในอหิงสาของคานธี .สารคดี ,17(201) ,147-152
วัฒนธรรมการแต่งกายวัยรุ่นไทย
วัฒนธรรมการแต่งกายวัยรุ่นไทย
สังคมไทยในทุกวันนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจ
มาสู่รูปแบบสังคมอุตสาหกรรมตลอดจนเทคโนโลยีต่างๆที่ได้หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เกิดการแพร่หลายทางวัฒนธรรมเข้ามาสู่สังคมไทยมากขึ้น
โดยวัฒนธรรมที่สังคมไทยรับเข้ามาไม่เพียงแต่ทางตะวันตกเท่านั้น ทางตะวันออกเองก็เข้ามีบทบาทชัดเจนด้วยเช่นกัน
อาทิเช่นเกาหลี ญี่ปุ่น เป็นต้น วัฒนธรรมทั้งสองแห่งนี้ ทำให้สังคมไทยเปลี่ยนแปลงไปในทุกๆด้าน
การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดทั้งข้อดีและข้อเสียต่อสังคม
ตัวอย่างด้านหนึ่งของสังคมที่ในปัจจุบันได้กลายมาเป็นปัญหาที่ผู้ใหญ่ๆหลายคนหนักใจและพยายามแก้ไขให้อยู่ในประเพณีอันดีงามของไทยเหมือนเดิม
นั่นคือ การแต่งกายของวัยรุ่นไทยปัจจุบัน
ที่มักแต่งกายยั่วยวน เซ็กซี่ จนก่อให้เกิดคดีอาชญากรรม การข่มขืนกระทำชำเราหลายต่อหลายคดีมาแล้ว
การแต่งกายของวัยรุ่นไทยในปัจจุบัน
ได้รับอิทธิพลทั้งจากทางตะวันตกและตะวันออก แต่ภายหลังมานี้ วัฒนธรรมเกาหลีและญี่ปุ่นจะได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นมากขึ้น
ซึ่งไม่ใช่เพียงเฉพาะด้านการแต่งกายเท่านั้น การเต้น การร้องเพลง ศิลปินดาราของเกาหลีและญี่ปุ่น
ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเทคโนโลยีได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งโทรทัศน์
วิทยุ โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต จึงทำให้การติดตามข่าวสารในเรื่องเหล่านี้ทำให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น
ซึ่งแนวทางการติดตามข่าวสารดังกล่าวนี้ ทำให้วัยรุ่นซึมซับวัฒนธรรมเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว
จนกลายมาเป็นวัฒนธรรมผสมผสานจนบ่อยครั้งที่แยกไม่ออกว่าเป็นวัฒนธรรมของชาติไหน
สื่อและเทคโนโลยีต่างๆ ถือว่าเป็นตัวนำหลักของการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการแต่งกายที่ชัดเจนมากที่สุด
เพราะไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ
อินเทอร์เน็ต ต่างก็พยายามหาข้อมูลที่ผู้คนให้ความสนใจมาเผยแพร่ ยกตัวอย่างเช่น
วัฒนธรรมเกาหลีที่เข้ามามีบทบาทมากในหมู่วัยรุ่น เนื่องมาจากละครของประเทศเกาหลีที่นำมาเผยแพร่ผ่านทางรายการโทรทัศน์ของไทย
ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งทางด้านการแต่งกาย อาหาร วัฒนธรรมท้องถิ่น ประกอบกับสถานที่ถ่ายทำละครนั้นมีความสวยงาม
ชวนให้ไปท่องเที่ยวในสถานที่นั้นๆ
ยิ่งทำให้กระแสวัฒนธรรมเกาหลีทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้
ยังมีการโฆษณาเพลงของนักร้อง และดาราเกาหลี ที่มีการแต่งกายที่แหวกแนว มีการ
เจาะรูตามร่างกาย กระโปรงสั้น
เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดลายตา
แม้แต่กระทั่งทรงผมก็มีความแปลกใหม่และแปลกตาเป็นอย่างมาก อินเทอร์เน็ตก็เป็นสื่ออีกแขนงหนึ่งที่มีข้อมูลข่าวสารด้านแฟชั่นต่างๆของเกาหลี
ที่จะมีการรายงานข้อมูลต่างๆอยู่เสมอๆ ทำให้วัยรุ่นไทยเกิดการลอกเลียนแบบ อยากที่จะแต่งตัวตามดาราหรือนักแสดงเกาหลีคนนั้น
คนนี้บ้าง จึงมีการแต่งกายที่เปิดเผยให้เห็นส่วนของเนื้อหนังมากขึ้น
ทั้งรัดรูป เกาะอก สายเดี่ยว กางเกงขาสั้น เป็นต้น นี่เป็นเพียงตัวอย่างจากวัฒนธรรมการแต่งกายเพียงแค่ชาติเดียวเท่านั้น
แท้จริงแล้วพบว่าวัยรุ่นไทยได้ซึมซับวัฒนธรรมการแต่งกายมาจากหลากหลายประเทศ
จึงทำให้ปัจจุบันประเทศไทยมีแฟชั่นการแต่งกายใหม่ๆ ออกมาเสมอ
การปรับปรุงแก้ไขด้านการแต่งกายของวัยรุ่นนั้น
เป็นเรื่องที่ทำได้ยากพอสมควร เพราะมักจะถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล อีกทั้งร้านค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่นจะมีเสื้อผ้าใหม่ๆที่น่าสนใจออกมาขายให้กับวัยรุ่นอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า หรือแม้กระทั่งตลาดนัดธรรมดาก็จะพบเห็นเป็นประจำ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้วัยรุ่นแต่งกายกันตามแฟชั่นอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นควรที่จะปลูกฝังค่านิยมการแต่งกายเสียใหม่ให้กับวัยรุ่น
ภาครัฐและภาคเอกชนต้องเข้ามาช่วยเหลือ
รวมถึงดูแลเรื่องสื่อและเทคโนโลยีต่างๆด้วยเช่น การรณรงค์การแต่งกายมิดชิด
สื่อสาธารณะ(ดารานักแสดง นักร้อง )ควรเป็นกลุ่มตัวอย่างในการแต่งกาย
และขณะเดียวกันก็ควรแสดงถึงเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทยด้วย ในส่วนพ่อแม่ผู้ปกครองเองก็ต้องคอยดูแลลูกหลานของตนเอง
ปลูกฝังให้รักนวลสงวนตัว ไม่ให้แต่งกายมิดชิดไม่เปิดเนื้อหนังมากเกินแต่ก็ไม่ควรให้เด็กรู้สึกว่าก้าวก่ายมากเกินไป
และต้องเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ
เยาวชนหรือวัยรุ่นเองก็ต้องรู้จักแต่งกายให้รัดกุม มิดชิด ไม่เปิดให้เห็นเนินอก
หรือขาสั้นจนเกินงาม วัยรุ่นควรที่จะป้องกันอันตรายด้วยการสร้างจิตสำนึกแก่ตนเองเช่นกัน
อย่ามัวแต่ให้คนอื่นมาคอยดูแลเพียงฝ่ายเดียว
นั่นจึงจะทำให้ปัญหาด้านการแต่งกายของวัยรุ่นที่ผิดไปจากวัฒนธรรมการแต่งกายของไทยแบบเดิมนั้นกลับมาเหมาะสมตามเดิม
แม้ว่าการแต่งกายจะเป็นสิทธิส่วนบุคคล
แต่หากวัยรุ่นไทยยังคงมีการแต่งกายที่ล่อแหลม ยั่วยวนกิเลสของผู้ชาย
แต่งกายไม่เหมาะสมกับคติคำสอนของไทยอย่างเช่นทุกวันนี้
ปัญหาอาชญากรรมก็คงจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยอีกนับไม่ถ้วน และที่สำคัญคือ
วัฒนธรรมการแต่งกายอันดีงามของไทยคงสูญหายไปอย่างแน่นอนในภายภาคหน้า
อนาคตลูกหลานจะไม่เข้าใจว่า สิ่งไหนเป็นวัฒนธรรมของไทย สิ่งไหนเป็นวัฒนธรรมของต่างชาติ จะรอให้ใครคนใดคนหนึ่งเริ่มต้นแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนก่อนจึงจะทำตามไม่ได้
คนไทยทุกคนต้องสำนึกได้ถึงความสำคัญและเป็นคนเริ่ม ทั้งเยาวชน ผู้ปกครอง ภาครัฐ ภาคเอกชน และสังคมต้องคอยช่วยกันดูแลและส่งเสริมการแต่งกายของเด็กไทยให้อยู่ในกรอบในจารีตประเพณีของไทย
จึงจะทำให้สังคมไทยสามารถคงความเป็นไทยให้ลูกหลานได้เรียนรู้วัฒนธรรมอันดีงามของชาติต่อไป
นางสาวบานชื่น ผกามาศ
อ้างอิง
พรพิมล หล่อตระกูล. วัยรุ่นกับการแต่งตัว . [ออนไลน์].
เข้าถึงได้จาก :
http://www.clinicdek.com/index.php?option=com_contened=1.
(วันที่ค้นข้อมูล :
10 ธันวาคม 2554)
พระใบฏีกาอุดร อุตฺตรเมธี. สังคมไทยคาดหวังอะไรจากวัยรุ่นปัจจุบัน. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
(วันที่ค้นข้อมูล : 4
ธันวาคม 2554)
ภัทริยา งามมุข. “การวิเคราะห์คุณลักษณะทางวัฒนธรรมไทยของนิสิตนักศึกษาใน
สถาบันอุดมศึกษา.”
นักบริหาร.26(3) :
106-107. กรกฎาคม 2549.
วารุณี เขียวทอง. ปัญหาการแต่งกายของนักศึกษา. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
http://sevenstars61.exteen.com/20080707/entry. (วันที่ค้นข้อมูล : 10 ธันวาคม 2554)
วิไลลักษณ์ เสรีตระกูล. “อินเทอร์เน็ตกับคนไทย.” นักบริหาร.
26(1) : 93-97. มกราคม 2549.
อิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย อิสลาม และจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อิทธิพลของอารยธรรมอินเดีย อิสลาม และจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีอารยธรรมของหลายแห่งผสมกันอยู่อย่างแพร่หลาย
ซึ่งก็แล้วแต่ละพื้นที่ว่าอารยธรรมแบบไหนจะเข้ามามีบทบาทมากกว่ากันเพราะพื้นที่ในภูมิภาคนี้มีทั้งภูมิประเทศแบบแผ่นดินใหญ่
และแบบหมู่เกาะ จึงทำให้มีอารยธรรมที่แตกต่างกันไป
อารยธรรรมที่แพร่หลายในสมัยโบราณมีอยู่ สาม
อารยธรรมนนั่นก็คือ อารยธรรมอินเดีย
อิสลาม และจีน ซึ่งแต่ละอารยธรรมก็จะมีลักษณะเด่นที่ไม่เหมือนกันจนเป็นรากฐานให้กับชาวเอเชียตั้งแต่โบราณเป็นต้นมา
การเข้ามาของอารยธรรมทั้งสามนี้มีเข้ามาในช่วงเวลาที่ไม่ตรงกันทำให้การศึกษาลำดับการเข้ามาของแต่ละอารยธรรมนั้นง่ายและชัดเจน
การติดต่อกันระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
2แล้ว แต่จากการศึกษาหลักฐานต่างๆพบว่าระหว่างสองภูมิภาคนี้มีการติดต่อกันมากขึ้นในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่
7-8 อาจกล่าวได้ว่าพ่อค้าอินเดียเดินทางเข้ามาติดต่อกับชาวพื้นเมืองด้วยการให้ของขวัญ
ยารักษาโรค ก่อนจะหยุดพักเพื่อรอลมมรสุมจึงค่อยเดินทางกลับ ระหว่างนั้นจึงเรียนรู้ภาษาพื้นเมืองและยังมีการแต่งงานกับคนพื้นเมืองก่อนที่พวกพราหมณ์และพระภิกษุจะเดินทางเข้ามา
อีกทั้งคนภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เองก็ได้เดินทางไปศึกษาหรือค้าขายที่อินเดียแล้วรับวัฒนธรรมกลับเข้ามาด้วย
จึงทำให้ในช่วงนี้อารยธรรมของอินเดียมีการแพร่ขยายมากกว่าอารยธรรมอื่นๆ ซึ่งพบเห็นได้หลายทาง
เช่น ทางด้านศิลปะและพุทธศาสนา พบพระพุทธรูปแบบอมราวดีซึ่งเป็นรูปแบบทางภาคใต้ของอินเดียมีปรากฏอยู่หลายแห่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ตัวอักษรที่ใช้ในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ก็ล้วนมีรากฐานมาจากตัวอักษรสมัยราชวงศ์ปัลลวะ
ทางภาคใต้ของอินเดีย ตลอดจนชื่อสถานที่ที่มีลักษณะคล้ายกับอินเดียและประเพณีที่มีต้นกำเนิดคล้ายกับราชวงศ์ปัลลวะด้วย
เป็นต้น
เหตุที่อินเดียมีการติดต่อกันมากขึ้นนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการที่ศาสนาพุทธในอินเดียนั้นรุ่งเรืองไม่กีดขวางการเดินทางร่วมกับผู้อื่นและเปิดโอกาสให้ทุกชนชั้นสามารถเดินทางออกนอกประเทศเหมือนพวกพราหมณ์ได้
ซึ่งทำให้มีการเผยแพร่พุทธศาสนาไปพร้อมๆกับการค้าขายของพวกพ่อค้าที่ต้องการสินค้าฟุ่มเฟือย
คือ ทอง ไม้หอม และยางไม้หอม และที่สำคัญเช่นเดียวกันก็คือ
ชาวอินเดียรู้จักการต่อเรือและวิถีลมมรสุมทำให้การเดินทางนั้นแม่นยำและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าพ่อค้าชาวอินเดียเป็นพวกแรกที่เดินทางเข้ามาก่อน
ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมกันทำให้ในระยะนี้เกิดอาณาจักรขึ้นมา เช่น
การสมรสของพราหมณ์อินเดียกับสตรีพื้นเมืองแต่งตั้งตัวเองเป็นหัวหน้ากลายมาเป็นอาณาจักรฟูนัน
เป็นต้น
อิสลามมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยพวกพ่อค้าที่เดินทางเข้ามาทางเรือเพื่อมาติดต่อค้าขายกับคนในแถบนี้ก็ได้นำศาสนาเข้ามาด้วย
โดยเริ่มต้นด้วยการเผยแผ่ให้กับชนชั้นปกครองในเมืองใหญ่ๆ และแถบชุมชนพ่อค้า
โดยการจะเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามนี้จะไม่ใช่การบีบบังคับคือจะแล้วแต่ความศรัทธาของแต่ละคน
วิธีการก็จะเทศนาสั่งสอนและเกลี้ยกล่อมชักชวน ไม่ใช้การขู่เข็ญ ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะเด่นของศาสนาอิสลาม
ลักษณะของศาสนาอิสลามบริเวณภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นจะแตกต่างไปจากแถบอื่นเพราะพื้นที่อื่นๆจะเต็มไปด้วยลักษณะทางไสยศาสตร์เวทมนตร์และเรื่องลึกลับแต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลับกลายเป็นเรื่องเชิงวิทยาศาสตร์
มีเหตุมีผล
เดินทางสายกลางจึงทำให้คนในแถบนี้มีจิตใจที่กว้างและงดงามไม่หยาบกระด้าง
ซึ่งหากเป็นที่อื่นจะมองว่าแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้เป็นพวกที่ทำตัวสอดคล้องกับความเป็นสมัยใหม่
นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมที่คนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับก็คือ ด้านขันติธรรม
ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องหมายประจำศาสนาอิสลามในพื้นที่นี้
อาณาจักรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการเผยแผ่ศาสนาอิสลามก็มีหลายแห่ง
ยกตัวอย่างเช่น
ชาวมาเลเซียที่จะสนใจในสิ่งที่เป็นปัจจุบันมากว่าที่จะเชื่อและงมงายอยู่กับเรื่องลึกลับ
และยังเป็นอาณาจักรที่เป็นที่ชุมนุมการค้าขายระหว่างชาติต่างๆด้วยจึงทำให้อิสลามมีแพร่หลายอยู่ในมาเลเซีย
แถบหมู่เกาะสุมาตรา(เปอร์ลัก)มีการบูชาเจว็ดในอดีตแต่เมื่อมีการติดต่อกับพ่อค้าซาราเซนทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนมารับกฎของมูฮัมหมัด เป็นต้น
การเผยแพร่วัฒนธรรมของจีนลงมาทางใต้ของประเทศนั้นจะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับการครองราชย์ของจักรพรรดิจีนแต่ละราชวงศ์
และปัญหาภายในประเทศจนทำให้ต้องถอยร่นลงมาทางใต้เป็นเสมือนการสำรวจดินแดนทางตอนใต้
ทำให้การติดต่อกันระหว่างจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีความสัมพันธ์กันเป็นระยะๆแต่มีก็มีความต่อเนื่องอยู่ตลอด
และที่สำคัญคืออิทธิพลของอินเดียและอิสลามนั้นเริ่มเสื่อมลงทำให้จีนมีการแผ่อิทธิพลได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
การติดต่อกับดินแดนทางตอนใต้ของจีนนั้นมุ่งเพียงเพื่อประกาศเกียรติยศศักดิ์ศรีและเพิ่มพูนความรู้ในทางพุทธศาสนาของตนเองเท่านั้น
ไม่ได้ต้องการที่จะแผ่อิทธิพลทางการเมืองและทางเศรษฐกิจให้กับอาณาจักรนั้นๆ เหมือนกับอิทธิพลของอิสลาม
ในสมัยของราชวงศ์ฮั่นอาณาจักรเวียดนามอยู่ภายใต้อาณานิคมของจีน
เวียดนามจึงได้กลายมาเป็นตัวเชื่อมต่อในการแผ่อิทธิพลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
อิทธิพลของพุทธศาสนาก็เป็นตัวการหลักที่ทำให้จีนมีการติดต่อกับอาณาจักรต่างๆมากมายที่นับถือพุทธศาสนาตั้งแต่ตอนที่อินเดียนำวัฒนธรรมนี้เข้ามา
ที่เห็นได้ชัดคืออาณาจักรศรีวิชัยที่ในสมัยราชวงศ์สุ้งใต้มีการส่งทูตและคอยช่วยเหลือด้านกองทัพในการตีชวาด้วย
เหตุเพราะศรีวิชัยเป็นอาณาจักรพาณิชยกรรม
ซึ่งควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างจีนและอินเดียผ่านไปมาเพื่อค้าขายกันอยู่เสมอ
และที่สำคัญอาณาจักรศรีวิชัยนี้มีความเจริญทางด้านพุทธศาสนาทำให้ง่ายต่อการเดินทางมาศึกษาพระธรรมของชาวจีน
แทนที่จะเดินทางไปที่อินเดียซึ่งขณะนั้นพุทธศาสนาในอินเดียมีความเสื่อมแล้ว
สำหรับอาณาจักรอื่นก็มีการติดต่อกันอยู่บ้างแต่ไม่ได้ชัดเจนเท่ากับเวียดนามและศรีวิชัย
เช่นอาณาจักรฟูนันที่จีนได้มีการส่งทูตเข้าไปภายในอาณาจักร และอาณาจักรเจนละที่ปรองดองและติดต่อกับจีนอยู่ตลอดเวลา
เป็นต้น
การเข้ามาของอารยธรรมทั้งสามนั้นเป็นเสมือนการวางรากฐานทางด้านการปกครอง
การเมือง เศรษฐกิจ วิถีการดำเนินชีวิต และอื่นๆอีกมากมายให้แก่คนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แต่อารยธรรมที่มีแพร่หลายอย่างกว้างขวางก็น่าจะเป็นอินเดีย รองลงมาคือจีน
และอิสลามเป็นลำดับสุดท้าย
แม้ว่าหลายประเทศจะมีการติดต่อกับจีนมานานกว่าอินเดียแต่ว่าอินเดียนั้นไม่ได้ขยายอำนาจมาคุกคามอาณาจักรต่างๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกับจีน
ทำให้อารยธรรมอินเดียมีอยู่ในหลายอาณาจักร ในขณะที่จีนจะเด่นอยู่ไม่มากนัก เช่น
เวียดนามที่ตกอยู่ภายใต้วัฒนธรรมของจีนก่อนที่จีนจะติดต่อกับแถบทางใต้
และอาณาจักรศรีวิชัยที่จีนต้องการเผยแผ่ศาสนาพุทธแล้วเป็นเมืองท่าสำหรับการค้าขายด้วยจึงมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น
เป็นต้น ในขณะที่อินเดียนั้นมีการเผยแผ่ศาสนาพร้อมกับแจกของขวัญ
ให้ยารักษาโรคต่างๆ
และยังมีการค้าที่สะดวกเรื่องการเดินทางอีกด้วยจึงทำให้เป็นที่แพร่หลายมากกว่า แต่ที่สำคัญคือชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับวัฒนธรรมอินเดียแล้วนำมาผสมผสานกับวัฒนธรรมพื้นเมืองของตนเองทำให้จึงปรากฏอารยธรรมอินเดียในทุกอาณาจักร ในทางกลับกันอิสลามนั้นเข้ามาโดยการค้าของพ่อค้าเช่นเดียวกับอินเดีย
แต่การแพร่หลายของอิสลามนั้นจะเป็นพวกชนชั้นปกครองมากกว่าและผู้ปกครองเผยแผ่ให้กับประชาชนด้วยความสมัครใจ
ด้วยอารยธรรมเหล่านี้ทำให้ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีรากฐานที่มั่นคงมาตั้งแต่โบราณจนปัจจุบันก็ยังคงมีให้เห็นกันอยู่
และยังทำให้เกิดการพัฒนาต่างๆอย่างไม่หยุดยั้งไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเดินทาง ศิลปะ
เทคโนโลยี และต่างๆอีกมากมายจนถึงทุกวันนี้
นางสางบานชื่น ผกามาศ
ผลผลิตของประเทศสยามและข้อแรกคือป่าไม้
ผลผลิตของประเทศสยามและข้อแรกคือป่าไม้
จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ได้บันทึกถึงป่าไม้ที่อยู่ในประเทศสยามของเรานั้นหลายชนิด
พร้อมทั้งได้อธิบายลักษณะ และการนำไปใช้ประโยชน์ของไม้แต่ละชนิด เช่น ต้นไผ่
ต้นไทร ฝ้ายและนุ่น ต้นไม้ที่ให้น้ำและยาง ต้นไม้ที่ใช้เปลือกทำเป็นกระดาษ เป็นต้น
ลาลูแบร์ได้บันทึกว่าประเทศสยามของเรานั้นแทบจะไม่ได้รับการปรับปรุงที่ดินเลย
แต่ก็เต็มไปด้วยป่าไม้นานาชนิด ต้นไม้ชนิดที่มีชื่อเสียงมากเรียกกันว่า “ต้นไผ่” เป็นต้นไม้จำพวกเดียวกันกับแขม
มีลำต้นตรงสูงและยาว มีใบน้อย สีซีดๆ ในลำต้นนั้นกลวงและงอกแตกหน่อแทงขึ้นมาจากดินได้
จะเกิดถี่และเสียดสีกันมาก เนื้อของไม้ไผ่นั้นยากที่จะตัดเพราะว่าเนื้อหนามาก
ชาวสยามนั้นมักจะใช้ไม้ไผ่มาสีกันให้เกิดเป็นไฟได้ด้วย
และด้วยความที่เป็นพืชจำพวกเดียวกันกับแขมนั้นไม้ไผ่ย่อมจะมียางและน้ำตาล
น้ำตาลจากต้นไผ่นี้มีชื่อเสียงอยู่ในกลางประเทศอินเดียเป็นอย่างมากจะถือว่าใช้เป็นโอสถวิเศษก็ว่าได้
เพราะสามารถบำบัดโรคได้หลายประเภท
สำหรับต้นไทรหรือต้นไม้แห่งรากนั้น
ลาลูแบร์บันทึกไว้ว่าหากมีเล็กน้อยไว้ในที่นอนแล้วจะสามารถกำจัดยุงได้
ลักษณะกิ่งของมันนั้นมีสายหลายสายห้อยลงมาถึงพื้นดิน แล้วจะแตกรากเกิดเป็นลำต้นใหม่ขึ้นมาเท่าจำนวนของสายที่ห้อยย้อยลงมา
ซึ่งหากมันขยายออกไปกว้างจะมองดูคล้ายหุบเหวหนึ่งเลยทีเดียว
แต่ลาลูแบร์ก็เคยเห็นชาวสยามใช้วิธีอื่นในการกำจัดยุง
อาจเป็นเพราะว่าเนื้อไม้ชนิดนี้หายาก
หรืออาจจะไม่เชื่อในสรรพคุณของต้นไม้นี้ก็เป็นได้
ชาวสยามนั้นยังมีพฤกษาชาติที่อำนวยประโยชน์ในการทำหมอนและยัดเบาะที่นั่งด้วย
นั่นก็คือฝ้ายและนุ่น ลักษณะคล้ายกับสำลีอย่างละเอียด
แต่ใยนั้นเป็นใยที่สั้นๆไม่สามารถนำมาปั่นให้เป็นเส้นด้ายได้
ชายสยามได้น้ำมันชนิดต่างๆจากต้นไม้บางชนิด
นำไปผสมกับซีเมนต์จะทำให้มีความเหนียวยิ่งขึ้น งานฉาบผนังหรือกำแพงที่ออกมาก็จะเกลี้ยงเกลา
ผ่องเป็นมันราวกับหินอ่อน
และอ่างน้ำที่ใช้ปูนซีเมนต์ชนิดนี้ยังสามารถเก็บน้ำได้ดีกว่าการทำด้วยดินเหนียวอีกด้วย
การทำกระดาษของชาวต่างชาตินั้นใช้ผ้าขี้ริ้วบดให้ละเอียดแต่ชาวสยามนั้นทำจากผ้าฝ้ายเก่าๆและยังทำจากเปลือกของต้นข่อยด้วย
ซึ่งก็ต้องนำมาบดละเอียดเช่นเดียวกัน แต่คุณภาพที่ออกมามีความหนาบางไม่สม่ำเสมอ
เนื้อกระดาษและความขาวผ่องก็ด้อยกว่าของต่างชาติ
จะเขียนด้วยดินสอซึ่งเป็นดินเหนียวที่ปั้นแล้วนำมาตากแดด
หนังสือก็จะไม่มีการเย็บเข้าเล่ม แต่จะพับเป็นแผ่นยาวเหยียด นอกจากกระดาษแล้วชาวสยามยังมีการจารึกอักษรด้วยเหล็กจารึกลงบนใบลาน
ที่ตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมยาวมากแต่จะกว้างน้อยจะใช้เขียนชาดกและมนต์ตราต่างๆสำหรับภิกษุสวดกันในวัด
ประเทศสยามมีไม้คุณภาพที่ไว้สำหรับต่อเรือกำปั่น
และทำเสากระโดง เชือกนั้นใช้ใยในกาบมะพร้าว และใบเรือทำด้วยเสื่อกกผืนใหญ่
ถึงแม้ว่าจะไม่ดีสู้กับของต่างชาติไม่ได้แต่ก็มีประโยชน์มากกว่า เพราะมีน้ำหนักเบาและอุ้มลมได้ดีกว่า
นอกจากสร้างเรือแล้วยังมีไม้ที่ไว้สำหรับสร้างบ้านเรือน
มีทั้งไม้ที่เบาและหนักที่สุด ทั้งที่ง่ายและยากต่อการผ่าหรือตัด ชาวยุโรปเรียกว่า
“ไม้มารี”
ส่วนไม้ที่มีน้ำหนักมากและแข็งที่สุดเรียกว่า “ไม้เหล็ก”
ซึ่งหากเป็นไม้ที่สูงและลำต้นตรงท่อนเดียวก็อาจทำให้เรือ
หรือที่ชาวโปรตุเกสเรียกว่า บาล็อง ลาลูแบร์บันทึกไว้ว่าชาวสยามใช้วิธีขุดในท่องซุงนั้น
แล้วใช้ความร้อนค่อยเบิกปากให้เรือผายออก เลือกไม้ที่ยาวเท่ากันมาต่อเป็นกาบ
เอาไม้ต่อหัวเรือให้สูงเชิดและท้ายเรือให้ยื่นออกไปข้างหลัง
นอกจากทั้งหมดนี้แล้ว
ชาวสยามยังมีอบเชยถึงแม้ว่าจะด้อยกว่าของเกาะสิงหล
แต่ก็นับว่าดีกว่าของที่อื่นๆแล้ว และยังมีไม้กฤษณาหรือไม้ขอนดอกด้วย
แต่ลาลูแบร์ก็ได้บันทึกไว้ว่าแม้ชาวสยามจะมีไม้มากชนิดก็ไม่ปรากฏว่ามีชนิดที่ชาวยุโรปนั้นรู้จัก
และยังไม่มีไหมและป่านลินินด้วย
จากการศึกษาจดหมายเหตุ ลา ลูแบร์
เรื่องผลผลิตของประเทศสยามและข้อแรกคือป่าไม้ จะเห็นได้ว่าสมัยอยุธยานั้นประเทศไทยของเรามีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติและป่าไม้มาก
มีการนำต้นไม้นานาชนิดมาทำประโยชน์เป็นเครื่องบริโภค เมื่ออ่านแล้วก็ได้รู้สึกชื่นชมลาลูแบร์ที่ได้บันทึกเรื่องราวของธรรมชาติในประเทศไทยในสมัยอยุธยาให้พวกเราได้ศึกษากัน
อ่านแล้วอยากจะเกิดเป็นคนในสมัยอยุธยาแล้วกลับมาเปรียบเทียบว่าปัจจุบันกับในสมัยอยุธยาว่ายุคไหนสมัยไหนดีกว่ากัน
เพราะว่าอ่านแล้วเข้าใจง่ายไม่ได้มีภาษาที่ยาก ไม่ต้องมาแปลอีกครั้งหนึ่ง
สามารถจินตนาการตามความที่บันทึกได้
นางสาวบานชื่น ผกามาศ
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา
มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์. (2548). จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์
ราชอาณาจักรสยาม (พิมพ์ครั้งที่ 2).
นนทบุรี: ศรีปัญญา, หน้า 50-55
แปลศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ ๑
แปลศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่ ๑
ด้านที่ ๑
ประวัติ
“พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสาม ผู้ญีงโสง พี่เผื-อ ผู้อ้าย
ตายจากเผือเตียมแต่ยังเล็ก” (ด้านที่๑
บรรทัดที่๑-๓)
บิดาขอพ่อขุนรามคำแหงชื่อ
ศรีอินทราทิตย์ มารดาชื่อ นางเสือง พี่ชายชื่อ บานเมือง
พ่อขุนรามคำแหงมีพี่น้องท้องเดียวกันทั้งหมดห้าคน เป็นผู้ชายสามคน ผู้หญิงสองคน
พี่ชายคนโตของพ่อขุนรามคำแหงได้ตายจากไปตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงยังเป็นเด็กอยู่
สงคราม
“เมื่อกูขึ้นใหญ่ได้ สิบเก้าเข้า
ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอด มา ท่
เมืองตาก พ่อกูไปรบ ขุนสามชน
หัวซ้ายขุนสามชนขับมา หัวขวา ขุนสาม ชนเกลื่อนเข้า ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกูหนีญญ่าย พ่ายจะแจ้-น กูบ่หนี กูขี่ช้างเบกพล กูขับเข้าก่อนพ่อกู กูต่อ ช้างด้วยขุนสามชน ตนกูพุ่งช้างขุนสามชนตัวชื่อ มาสเมืองแพ้ ขุนสามชนพ่ายหนี พ่อกูจึงขึ้นชื่อ กู ชื่อพระรามคำแหง เพื่อกูพุ่งช้างขุนสามชน” (ด้านที่ ๑ บรรทัดที่
๓-๑๐)
เมื่อพ่อขุนรามคำแหงอายุได้สิบเก้าปี
ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดได้ยกทัพมาตีเมืองตาก พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ไปออกรบกับขุนสามชน
เมื่อทหารปีกซ้ายและปีกขวาของขุนสามชนขี่ช้างจะขับมาชนช้างของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
ไพร่พลต่างวิ่งหนีกันชลมุน เพราะว่ากลัวแพ้ แต่พ่อขุนรามคำแหงไม่ได้หนี
กลับขึ้นขี่ช้างแล้วเข้าพุ่งชนกับช้างมาสเมือง
ซึ่งเป็นช้างของขุนสามชนแทนพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จนช้างมาสเมืองแพ้
ขุนสามชนก็ได้แพ้แล้วหนีเตลิดไป
ด้วยเหตุนี้ทำให้พ่อขุนศรีอินทราทิตย์สถาปนาพ่อขุนรามคำแหงเป็น พระรามคำแหง
ลักษณะนิสัย
“ชน เมื่อ-อชั่วพ่อกู กูบำเรอแก่พ่อกู กูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัว เนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวา-น อันใดกินอร่อยกินดี กูเอามาแก่พ่อกู กูไปตี หนังวังช้าง ได้
กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่บ้านท่เมื-อง ได้ช้างได้งวง ได้ปั่ว
ได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอา มาเวนแก่พ่อกู พ่อกูตายยังพี่กู กูพร่ำบำเรอแก่พี่ กู ดั่งบำเรอแก่พ่อกู พี่กูตาย
จึ่งได้เมืองแก่กูทั้ง-กลม” (ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๐-๑๘)
พ่อขุนรามคำแหงคอยปรนนิบัติรับใช้พ่อขุนศรีอินทราทิตย์และนางเสืองอย่างจงรักภักดี
เมื่อหาสัตว์บกสัตว์น้ำ ผลไม้ต่าง ๆ หรืออะไรที่อร่อยจะนำมาถวายเสมอ
ไปคล้องช้างได้ช้างมากี่เชือกก็จะนำมาถวาย แม้ไปตีบ้านตีเมืองอื่นได้เชลยชายหญิง
ได้เงินได้ทอง ก็นำมาถวายแด่พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ตลอด
เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สิ้นพระชนม์พ่อขุนบานเมืองครองราชย์ต่อ
พ่อขุนรามคำแหงก็ยังคงปฏิบัตตนเช่นเดิม
ยังคงคอยปรนนิบัติรับใช้พ่อขุนบานเมืองดั่งเช่นเคยทำกับพ่อขุนศรีอินทราทิตย์
เศรษฐกิจ
“เมื่อชั่วพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดี ในน้ำ มีปลา
ในนามีข้าว
เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ลูท่าง
เพื่- อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย
ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใคร จักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงือนค้าทองค้า”
(ด้านที่๑ บรรทัดที่ ๑๘-๒๑)
สมัยพ่อขุนรามคำแหงเมืองสุโขทัยมีความอุดมสมบูรณ์มาก
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว และพ่อขุนรามคำแหงไม่ได้เก็บภาษีจากประชาชน
ทำให้ใครอยากจะขายอะไรก็ขายกันอย่างสบาย ไม่ว่าจะเป็นช้าง ม้า เงิน ทอง
กฎหมาย
“ไพร่ฟ้าหน้าใสลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ล้มตายหายกว่า
เหย้าเรือนพ่อเชื้อ เสื้อ
คำมัน ช้างขอ ลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไท
ป่า หมากป่าพลูพ่อเชื้อมัน
ไว้แก่ลูกมันสิ้น ไพร่ฟ้า
ลูกเจ้าลูกขุน ผิแลผิดแผกแสก ว้างกัน
สวนดู แท้แล้ จึ่งแล่งความ แก่ขา
ด้วยซื่อ บ่เข้าผู้ลักมัก ผู้ซ่อน เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พีน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือ-ด คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่
ช่อยเหนือเฟื้-อกู้
มันบ่มีช้างบ่มีม้า
บ่มีปั่วบ่มีนาง บ่มีเงือ
นบ่มีทอง ให้แก่มัน ช่อยมันตวงเป็นบ้านเป็นเมือง
ได้เข้าเสือกข้าเสือ
หัวพุ่งหัวรบก็ดี บ่ฆ่าบ่ตี ใน ปากประตูมีกระดิ่งอันณื่ง แขวนไว้หั้น
ไพร่ฟ้าหน้า ปก
กลางบ้านกลางเมือง
มีถ้อยมีความ เจ็บท้อง ข้องใจ มันจักกล่าวเถิงเจ้าเถิงขุนบ่ไร้ ไปลั่นกะ-ดิ่งอันท่านแขวนไว้ พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองได้ยิน เรียกเมือถาม
สวนความแก่มันด้วยซื่อ” (ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๒๒ ถึง ด้านที่ ๒
บรรทัดที่ ๑)
เมื่อมีการทะเลาะกันเกิดขึ้นพ่อขุนรามคำแหงก็จะสอบสวนด้วยความยุติธรรม
ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแม้ว่าจะเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ตาม
ราษฎรที่มีเรื่องร้องทุกข์สามารถจะมาสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่ประตูเพื่อให้พ่อขุนรามคำแหงตัดสินแต่ไต่สวนได้ทุกเมื่อ
และหากเจ้าเมืองไหนอยากจะตั้งเมืองเป็นของตนเอง
พ่อขุนรามคำแหงก็ให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ไม่มีช้าง ก็ให้ช้าง
ไม่มีเงินทองก็ให้ไปจนสามารถตั้งเป็นเมืองได้
ด้านที่ ๒
ภูมิประเทศ
“ไพร่ใน
เมืองสุโขทัยนี้จึ่งชม สร้างป่า หมากป่าพลู
ทั่วเมือ-งนี้ทุกแห่ง ป่าพร้าวก็หลายในเมืองนี้ ป่าลาง ก็หลายในเมืองนี้ หมากม่วงก็หลายในเมืองนี้
หมากขามก็หลายในเมืองนี้ ใครสร้างได้ไว้แก่มัน
กลางเมืองสุโขทัยนี้
มีน้ำตระพังโพยสี ใสกินดี …ดั่งกินน้ำโขงเมื่อแล้ง
รอบเมืองสุโขทัยนี้ ตรี-บูร ได้สามพันสี่ร้อยวา”(ด้านที่
๒ บรรทัดที่ ๒-๘)
ราษฎรเมืองสุโขทัยนี้นิยมปลูกต้นไม้กันมาก
มีการปลูกหมาก ปลูกพลู ต้นมะพร้าว ต้นขนุน ต้นมะม่วง ต้นมะขามมีมากอยู่ในเมืองสุโขทัย
ที่กลางของเมืองมีสระน้ำที่ใสสะอาด สามารถใช้ดื่มกินได้
เมืองสุโขทัยล้อมรอบไปด้วยกำแพงเมืองที่มีทั้งหมดสามชั้น ความยาว ๙.๘ กิโลเมตร
ประเพณีและศาสนา
“คนในเมืองสุโขทัยนี้
มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน
พ่อขุนรามคำแหง เจ้าเมืองสุโขทัยนี้
ทั้งชาวแม่ ชาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนา ง ลูกเจ้าลูกขุน
ทั้งสิ้นทั้งหลาย ทั้งผู้ชายผู้ญีง
ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสน
ทรงศีลเมื่อพรร-ษาทุกคน เมื่อออกพรรษากรานกฐิน เดือนณื่ง
จึ่-งแล้ว
เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก
มี พนมดอกไม้ มีหมอนนั่งหมอนโนน บริพารกฐินโอ-ยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัติกฐิน
เถิงอ-ไรญิก
พู้น เมื่อจักเจ้ามาเวียง เรียงกันแต่อไร ญิกพู้นเท้าหัวลาน ดํบงคํกลอง
ด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิ-ณ เสียงเลื้อน เสียงขับ
ใครจักมักเล่น เล่น ใครจั-กมักหัว หัว
ใครจักมักเลื้อน เลื้อน เมืองสุ-โขทัยนี้ มีสี่ปากประตูหลวง เที้ยรย่อมคนเสียดกันเข้ามาดูท่านเผาเทียน ท่านเล่นไฟ
เมืองสุโขทัยนี้ มีดั่งจักแตก”(ด้านที่ ๒ บรรทัดที่๑-๒๓)
คนในเมืองสุโขทัยนี้ชอบทำทาน
ถวายสังฆทาน ทั้งพ่อขุนรามคำแหง หญิงชาววัง และราษฎรทั้งหญิงชายต่างก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา
จะถือศีลกันเมื่อถึงวันเข้าพรรษา และเมื่อออกพรรษาก็จะมีการทอดกฐิน ถวายสังฆทาน
มีการจัดพานดอกไม้ พานเงิน พานทอง หมอน
และเงินอีกสองล้านเบี้ยเพื่อถวายกฐินและสังฆทานทีวัดในป่า ตลอดเมืองจะมีการตีกลอง
มีการละเล่นดนตรี ขับร้องเพลง ขับทำนองเสนาะ กันอย่างสนุกสนาน
ผู้คนต่างเบียดเสียดกันเข้ามาชมการเล่นเผาเทียนและการเล่นๆไฟ
ทางประตูใหญ่ทั้งสี่ประตู
ศาสนสถาน
“กลางเมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร
มี พระพุทธรูปทอง มีพระอัฏรารศ
มีพระพุทธรูป พระพุทธรูปอันใหญ่
มีพระพุทธรูปอัน ราม
มีพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม มีปู่ ครูนิสัยมุตก์ มีเถร
มีมหาเถร เบื้องตะวันตก
เมืองสุโขทัยนี้ มีอไรญิก พ่อขุนรามคำแหงกระทำ
โอยทานแก่มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตร หลวกกว่าปู่ครูในเมืองนี้ทุกคน ลุกแต่เมืองศรีธ-รรมราชมา ในกลางอรัญญิก มีพิหารอันหนึ่ง มน ใหญ่
สูงงามแก่กม มีอัฏฐารศอันณื่ง ลุกยื-น เบื้องตะวันโอก เมืองสุโขทัยนี้ มีพิหาร
มีปู่ครู มีทะเลหลวง
มีป่าหมากป่าพลู มีไร่มีนา มีถิ่น มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก มีป่าม่วง
มีป่าขาม ดูงามดังแกล้-(ง …แต่)ง”
(ด้านที่ ๒ บรรทัดที่๒๓ ถึง ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑)
กลางเมืองสุโขทัยมีการสร้างวัดเล็ก
วัดใหญ่ มีพระพุทธรูปองค์เล็ก องค์ใหญ่ ที่แตกต่างกันออกไป มีพระภิกษุที่มีพรรษาตั้งแต่ ห้าพรรษาจำวัดอยู่
มีพระเถร พระมหาเถร อยู่ทางทิศตะวันตก พ่อขุนรามคำแหงจะทำการถวายสังฆทานแก่พระมหาเถรสังฆราชในป่า
ซึ่งที่กลางป่านั้นมีเจดีย์กลมใหญ่อยู่ซึ่งมีความสวยงามมากที่สุด
มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยยืนหันพระพักตร์ไปทางด้านตะวันออก
ถือว่าองค์นี้เป็นองค์ที่ใหญ่ที่สุด ที่เมืองสุโขทัยมีวัด มีพระ มีป่า
มีต้นไม้ต่าง ๆพันธุ์กัน ราษฎรมีบ้านเรือน งดงามดั่งความตั้งใจของพ่อขุนรามคำแหง
ด้านที่ ๓
ภูมิประเทศ
“เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีตลาดป สาน
มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมาก ลาง
มีไร่ มีนา มีถิ่นฐาน
มีบ้านใหญ่ บ้านเล็ก เบื้-องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้ มีกุฎีพิหาร
ปู่ครู อยู่ มีสรีดภงส มีป่าพร้าวป่าลาง มีป่าม่วงป่าขาม มีน้ำโคก” (ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑-๖)
ทางทิศเหนือมีตลาด
มีพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีปราสาท มีป่าไม้ ต้นมะพร้าวต้นหมาก ต้นขนุน มีสวนมีไร่
มีบ้านเรือนของราษฎรตั้งถิ่นฐานกันอยู่ ส่วนทางใต้มีกุฏิอารามของพระ มีทำนบสำหรับทำชลประทาน
มีป่ามีต้นไม้มากมายเช่นกัน มีลำธารที่ได้ไหลออกมาจากเขาขพุง
ความเชื่อ
“มีพระขพุง ผีเทพดา
ในเขาอันนั้น เป็นใหญ่กว่าทุกผี
ในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมือง
สุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมือง นี้ดี
ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอั้น
บ่คุ้มบ่ เกรง”(ด้านที่
๓ บรรทัดที่๖-๑๐)
ภูเขาขพุงนี้
มีความเชื่อกันว่าผีที่สิงอยู่ที่เขานี้มีอำนาจยิ่งกว่าผีทุกตนในละแวกนั้น
หากเจ้าเมืองสุโขทัยทำการเซ่นไหว้ บูชาอย่างดี ผีในเขาขพุงจะดลให้บ้านเมืองมั่นคง
เพราะว่าผีคุ้มครอง แต่หากเซ่นไหว้ไม่ดีจะทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน
เพราะว่าผีเขาขพุงไม่คุ้มครอง
ศาสนา
“เมืองนี้หาย ๑๒๑๔
ศก ปีมะโรง พ่อขุนรามคำ-แหง เจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยนี้ ปลูกไม้ตา-ลนี้ ได้สิบสี่เข้า
จึ่งให้ช่างฟันขดานหิน ตั้งหว่าง
กลางไม้ตาลนี้ วันเดือนดับ เดือนโอกแปดวัน วั-นเดือนเต็ม เดือนบ้างแปดวัน ฝูงปู่ครู
เถร มหาเถ-ร ขึ้นนั่งเหนือขดานหิน สูดธรรมแก่อุบาสก ฝู-งท่วยจำศีล ผิใช่วันสูดธรรม พ่อขุนรามคำแหง
เจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย
ขึ้นนั่งเหนือขดา-นหิน ให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือ เมือง ครั้นวันเดือนดับเดือนเต็ม ท่านแต่งช้างเผื-อกกระพัดลยาง เที้ยรย่อมทองงา(ซ้าย)ขวา ชื่อรูจาครี พ่อขุนรามคำแหง ขึ้นขี่ไปนบพระ(เถิง)อรัญญิกแล้-วเข้ามา” (ด้านที่๓ บรรทัดที่ ๑๐-๒๒)
พุทธศักราช ๑๘๓๕
พ่อขุนรามคำแหงครองราชย์สมบัติเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยครบ ๑๔ ปี
จึงสั่งให้ช่างทำกระดานหินไปวางไว้กลางป่าตาล ถ้าเป็นวันพระจะมีพระครู พระเถร
พระมหาเถร มานั่งเทศนาธรรมให้กับประชาชน
แต่หากไม่ใช่วันพระพ่อขุนรามคำแหงจะขึ้นนั่งแล้วให้ประชาชนหรือเจ้าเมืองอื่นที่เป็นประเทศราชมาปรึกษาหารือได้
หากมีเรื่องทุกข์ใจหรือข้องใจ เมื่อถึงวันพระพ่อขุนรามคำแหงจะแต่งช้าง ให้สวยงาม
งาประดับไปด้วยทอง ช้างพระที่นั่งของพ่อขุนรามคำแหงชื่อว่า จูราครี
จารึก
“จารึกอันณื่ง มีในเมืองชเลียง สถาบกไว้ ด้วยพระศรีรัตนธาตุ จารึกณื่ง
มีในถ้ำชื่อถ้ำ พระราม
อยู่ฝั่งน้ำสำพาย
จารึกอันณื่ง มีในถ้ำ รัตนธาร
ในกลวงป่าตาลนี้ มีศาลาสองอัน อันณื่งชื่อ ศาลาพระมาส อันณื่ง
ชื่อพุทธศาลา ขดานหินนี้ ชื่อม-นังศิลาบาตร สถาบกไว้นี้
จึ่งทั้งหลายเห็น”(ด้านที่ ๓ บรรทัดที่๒๒-๒๗ )
จารึกอันหนึ่งมีในเมืองเชลียงซึ่งถือว่าเป็นเมืองสำคัญขณะนั้น
ที่สร้างไว้ด้วยพระศรีรัตนธาตุ จารึกอีกอันหนึ่งมีอยู่ที่ถ้ำพระราม
และจารึกอีกอันหนึ่งมีอยู่ในถ้ำรัตนธารที่กลางป่าตาล ซึ่งมีศาลาอยู่สองหลัง
หลังหนึ่งชื่อศาลาพระมาส อีกศาลาชื่อพุทธศาลา
กระดานหินที่ใช้สำหรับแสดงธรรมชื่อว่ามนังศิลาบาตร ด้านที่
๔
ประวัติ
“พ่อขุนรามคำแหง ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็-นขุนในเมืองศรีสัชนาลัยสุโขทัย
ทั้งมา กาว ลาว แลไทยเมืองใต้หล้าฟ้าฏ (ต่อ) … ไทยชาวอู ชาวของ มาออ-ก”(ด้านที่๔
บรรทัดที่๑-๔)
พ่อขุนรามคำแหงเป็นบุตรของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งเป็นเจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย
ซึ่งปกครองพวกมา กาว ลาว ไทยชาวอู ชาวของ
ศาสนสถาน
“๑๒๐๗ ศกปีกุน ให้ขุดเอาพระธาตุออกทั้งหลาย เห็น กระทำบูชาบำเรอแก่พระธาตุได้เดือนหกวัน จึ่-งเอาลงฝังในกลางเมืองศรีสัชชนาลัย ก่อพระเจ ดีย์เหนือ หกเข้าจึ่งแล้ว ตั้งเวียงผา
ล้อมพระม-หาธาตุ
สามเข้าจึงแล้ว
เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่ มี”(ด้านที่๔ บรรทัดที่ ๔-๙)
พุทธศักราช ๑๘๒๘
พ่อขุนรามคำแหงให้ขุดเอาพระธาตุที่มีการฝังไว้ออกมาให้หมด
แล้วทำพิธีบูชาใหม่อีกครั้งแล้วจึงนำไปฝังลงที่กลางเมืองศรีสัชชนาลัย
แล้วก่อเจดีย์เหนือบริเวณที่ฝังพระธาตุ แล้วสร้างกำแพงหินล้อมรอบพระมหาธาตุ
อักษรไทย
“๑๒๐๕
ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ ในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทยนี้จึ่งมีเพื่-อขุนผู้นั้นใส่ไว้
พ่อขุนรามคำแหงนั้นหา เป็นท้าว
เป็นพระยาแก่ไทยทั้งหลาย หาเป็น
ครูอาจารย์สั่งสอนไทยทั้งหลายให้รู้ บุญรู้ธรรมแท้ แต่คนอันมีในเมืองไทยด้วย รู้ด้วยหลวก ด้วยแกล้วด้วยหาญ ด้วยแคะ ด้วยแรง หาคนจักเสมอมิได้”(ด้านที่๔ บรรทัดที่๙-๑๖)
เมื่อก่อนไม่มีอักษรไทยจนกระทั่งพุทธศักราช
๑๘๒๑ พ่อขุนรามคำแหงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจแล้วประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นมาใช้
พ่อขุนรามคำแหงนั้นเป็นท้าว เป็นเจ้าเมืองแก่ชาวไทยทั้งหลาย
ไม่ได้เป็นอาจารย์ที่สั่งสอนคนทั่วไปให้รู้บุญรู้บาป แต่คนในเมืองไทยมีความรู้มาก
ความกล้าหาญหาใครจะเทียบไม่ได้
อาณาเขต
“อาจปราบฝูงข้า เสิก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตะวันอ-อก รอดสรลวง สองแคว
ลุมบาจาย สคา เท้าฝั่งขอ-ง เถิงเวียงจันทน์เวียงคำ เป็นที่แล้ว
เบื้อ(อ)งหัว นอน รอดคณฑี พระบาง แพรก
สุพรรณภู-มิ
ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช
ฝั่งทะเล สมุทรเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตก รอดเมือ-งฉอด เมือง…น หงสาวดี
สมุทรหาเป็-นแดน o เบื้องตีนนอน รอดเมืองแพร่
เมื-องม่าน
เมืองน…เมืองพลัว
พ้นฝั่งของ เมืองชวา เป็นที่แล้ว o
ปลูกเลี้ยงฝูงลูกบ้า-นลูกเมืองนั้น ชอบด้วยธรรมทุกคน”(ด้านที่๔ บรรทัดที่ ๑๖-๒๗)
อาณาเขตของเมืองสุโขทัยกว้างขวาง
เพราะสามารถปราบข้าศึกได้มาก ทางด้านตะวันออกมีพื้นที่ถึงเมืองสระหลวง เมืองสองแคว
เมืองลุม เมืองจาบาย ทางทิศใต้ที่จังหวัดกำแพงเพชร นครสวรรค์ พิจิตร
สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี
ถึงนครศรีธรรมราชและชายฝั่งทะเล ทางด้านตะวันตกจะอยู่ถึงเมืองหงสาวดี
ทิศเหนือจะอยู่ถึงจังหวัดน่าน หลวงพระบาง
พ่อขุนรามคำแหงปกครองและดูแลเมืองเหล่านี้อย่างดี ด้วยความเป็นธรรมมาโดยตลอด
นางสาวบานชื่น ผกามาศ
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกประวัติศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)